ตั้งแต่ที่การไปญี่ปุ่นได้ยกเลิกการใช้วีซ่า ก็ดูเหมือนว่าคนไทยจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะม๊ากกกกกกกก
ประกอบกับราคาแต่ละสายการบินก็ออกโปรโมชั่นที่คนธรรมดาอย่างเราสามารถจับต้องได้
และด้วยความที่เห็นใครๆเค้าก็ไปกัน บ้างก็บอกว่าเมืองเค้าสวย เป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดปี
บ้างก็ชอบกลับมาชื่นชมความมีน้ำใจ ความมีระเบียบวินัยของบ้านเค้า ทำให้เราตัดสินใจที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นบ้าง
เป็นการเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของเราสองคน
โดยการเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่การเปิดตัวสายการบิน Thai AirAsia X ปล่อยโปรโมชั่นบินตรงดอนเมือง – นาริตะ เริ่มต้นที่ 2990 หรือ 2999 เนี่ยแหล่ะจำไม่ได้
เราจองกันข้ามปีเลยนะ รู้สึกว่าจะจองกลางปี 2014 เดินทางกลางปี 2015 เหตุผลที่จองยาวขนาดนั้นเพราะจะได้มีเวลาเก็บเงิน 5555 งบที่เอาไปเป็นพ๊อกเกตมันนี่เราตั้งใจอยู่ที่ 40000 บาทค่ะ
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับอยู่ที่คนละประมาณ 8500 บาท โหลดแต่กระเป๋าขากลับ ไม่เลือกที่นั่ง ไม่ซื้อประกัน คือตัดทุกอย่างที่ต้องเสียเงินเพิ่ม 55555
เดินทางคืนวันที่ 12 มิถุนายน เวลา 23:45น. กลับวันที่ 18 มิถุนายน เวลา 09:15 น.
โดยเมืองที่จะไปก็คือ Osaka และ Tokyo โดยหาข้อมูลจากในเน็ตเนี่ยแหล่ะ ซึ่งมีแต่คนบอกว่า อย่าไปเลยสองเมืองมันเหนื่อย ไม่คุ้ม ไม่ค่อยได้เที่ยวอะไรเท่าไหร่
แต่เราก็หาฟังไม่ 555555 เอาจริงๆ เมืองที่อยากไปคือ Tokyo แต่ อยากไป Osaka เพราะอย่างเดียวเลยคือ The Wizarding World of Harry Potter ก็เลย เอาวะ!! ไปทั้งทีก็เอาให้เต็มที่ อยากไปไหนไป อยากทำไรทำ!!!!
สรุปการเดินทางตลอด 5 วันให้ฟัง
EP.3 : Tokyo – Asakusa – Ueno – Ameyoko
EP.4: Tsukiji – Ginza – Shinjuku – Shibuya
EP.5: Tokyo SkyTree – Asakusa – Harajuku – Shibuya – Tokyo
12 June 2015
หลังจากที่เตรียมตัวกันมาแรมปี ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เครื่องออก 23:45 มาถึงสนามบินตั้งแต่ทุ่มนิดๆจ้า 55555555
ก็รอกันไปตามระเบียบ ตรวจกระเป๋าไรเสร็จก็เข้ามาเดินดิวตี้ฟรี ดูเครื่องสำอางนู่นนี่นั่นฆ่าเวลา ก็ยังไม่สามทุ่มสักที ดูน้ำตากามเทพฆ่าเวลาละกัน
ดูกันหัวเราะกันสองคนคิกคักๆ (ไม่รูชะตากรรมข้างหน้า) พอถึงเวลาเรียก โอ้ยยย อยากจะวิ่งขึ้นเครื่อง 555 พอขึ้นเครื่องเท่านั้นแหล่ะ รู้เรื่องเลย
เกินเวลามาประมาณ สิบห้านาทีได้ เครื่องก็ยังไม่ออกสักที เหมือนจะเลื่อนออกอยู่แล้วก็หยุดซะงั้น สักพักกัปตันประกาศว่า มีเหตุขัดข้องเล็กน้อย
ขอเวลาสักครู่ ไอเราก็เริ่มใจคอไม่ดีละ จะได้ไปป่ะว้าเนี่ยยย รอสักพัก กัปตันประกาศ ให้ลงไปรอข้างล่าง เครื่องขัดข้อง จะใช้เวลาใรการแก้ปัญหา 2 ชั่วโมง
เท่านั้นแหล่ะ อือหือออออออออ ผมนี่นอยเลยยยยยยยยย ก็แยกย้ายกันลงไป แต่ละคนนี่ก็นอยไปตามระเบียบ ไอเราก็นอยโฮ่กๆเลยนะ แต่ก็ไม่เป็นไรรอกันไปแบบนอยๆ
ผ่านไปสองชั่วโมง เค้าก็ประกาศให้ขึ้นเครื่อง ตอนเดินผ่านพนักงาน ก็ยกมือขอโทษ ขออภัยที่ทำให้เสียเวลา เอาจริงๆพอเห็นพนักงานทำแบบนั้นเราก็หายนอยเลยอ่ะ
คือเราต้องเข้าใจเค้าด้วยแหล่ะ คงไม่มีใครอยากให้เครื่องมันดีเลย์หรอก มันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่เป็นไรๆ ไม่โกรธไม่อะไรนะ เพียงแต่นอยเฉยๆ 555
ก็ขึ้นเครื่องบินลำใหม่เลย เค้าเปลี่ยนเครื่องให้ใหม่ ที่นี้ไม่มีปัญหาละ เราไม่ได้นั่งด้วยกันนะ เพราะเราไม่ยอมเสียเงินเลือกที่นั่ง 555 ไม่เป็นไร ประหยัดเข้าไว้ ไปเต็มที่ที่นู่นค่า
ระหว่างเครื่องขึ้นก็ทำให้รู้ว่าเราควรเช่าผ้าห่ม ใครมีผ้าอะไรก็เตรียมไปนะคะ มันค่อนข้างหนาว ค่าเช่าผ้าห่มอยู่ที่ 100 บาทค่า
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ถึงสนามบินนาริตะเกือบ 10 โมงเช้า
ตรวจอะไรเสร็จเรียบร้อยก็รีบไปหาจุดแลก JR Pass
ที่ตัดสินใจซื้อ JR Pass เพราะจะใช้เดินทางไป Osaka และกลับมา Tokyo และใช้เดินทางไปเที่ยวที่อื่นๆได้อีกด้วย
(ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปลงโอซาก้า เพราะตอนนั้นช่วงเวลานี้ไม่มีไฟล์ทบินตรง Osaka ค่ะ)
ราคา JR Pass อยู่ที่ 8100 บาท ซื้อกับ HIS ค่ะ โดยต้องใช้หลังจากซื้อแล้วภายใน 90 วัน (นับวันกันดีดีนะคะ ถ้าเลยกำหนดนี่ร้องไห้เลยนะ 555)
จุดแลกจะหาไม่ยากค่ะ สังเกตได้ง่ายๆเลย ไปถึงก็ต่อคิวแพ๊พนึง มาถึงคิวเรา เราก็ยื่น JR Pass ที่ซื้อจากไทย พร้อมพาสปอร์ตให้เค้า
แล้วก็ทำการจอง Narita Express เพื่อเข้าสู่โตเกียว และจอง Shinkansen เพื่อเดินทางไปยัง Shin Osaka
คุยกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษ เค้าแนะนำให้เราไปต่อ Shinkansen ที่ Shinagawa เพราะจะไม่ยุ่งยาก ต่อง่ายกว่า พนักงานน่ารักค่ะ พูดจาดีมาก
แนะนำอย่างดีและขาไป Osaka จองฝั่ง ภูเขาไฟฟูจิให้เราแบบที่เราไม่ต้องบอกด้วย 🙂
ได้ JR Pass สำหรับที่ใช้เดินทางมาแล้ว คือเราสามารถเดินทางกี่รอบ รอบไหนก็ได้ที่เป็นสาย JR ใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้งานวันแรก ต้องโชว์บัตรนี้กับพนักงานทุกครั้งในการเดินทาง จะมีช่องอยู่ช่องนึง ที่ไม่ต้องสอดบัตร ก็เดินเข้าไปช่องนั้นพร้อมโชว์บัตรได้เลย
ส่วนตั๋วที่จองเข้าเมือง จะเป็นใบเล็กๆ แบบจองที่นั่ง Reserved Seat ถ้าเดินทางใช้เวลานานแนะนำให้จองนะ ถ้าไม่นานมากก็ขึ้นได้เลยจ่ะ
จะมีเวลาบอกว่ารถไฟจะมาถึงกี่โมง สำหรับที่นี่เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากๆนะ ทุกอย่างจะ on time มากๆ ยังไงรักษาเวลากันด้วยจ้า
ใช้เวลาในการเดินทางจากสนามบิน Narita ไปยัง Shinagawa 1 ชั่วโมง กับอีก 6 นาที รถคันที่ 3 ที่นั่ง 1-B สายที่จะขึ้นคือ Narita-Express 18
พอใกล้ถึงเวลาก็ไปรอที่ชานชาลา ดูให้ดีๆว่าเราจะไปทางไหน เพราะแต่ละชานชาลาจะมีรถไฟหลายขบวน เช็คสายการเดินทางให้ดีจ้า
อย่างของเราเป็นสาย Narita Express 18 ก็ยืนรอเลย จะมีเลขบอกอยู่ว่า ช่องคันที่เท่าไหร่ พอมาปุ๊ปก็ขึ้นหาที่นั่งได้เลยจ้า
บนรถไฟคือ สบายม๊ากกกก กว้างขวาง มีที่เก็บกระเป๋าข้างบน และที่เก็บระหว่างขบวนด้วย ของเราจองตู้ Non-Smoking จ้า เก็บของได้ที่นั่งก็เช็ดหน้าเช็ดตา แต่งหน้าเลย อิอิ ห้องน้ำก็สะอาดและแสนสบายค่ะ มีสองแบบนะ Western Style (แบบนั่งก้น) Japanese Style (แบบนั่งยอง) เลือกเอาแบบที่สบายใจ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงสถานี Shinagawa หาซื้อเบนโตะเอาไปกินบน Shinkansen กันหน่อยนะ เลือกมากล่องนึง (850Y) แล้วก็ไปรอขึ้น Shinkansen เลย เพราะมีเวลาไม่มาก ต้องขึ้นอีกขบวน เวลา 13:10 (เราถึง Shinakawa 12:54)
ใกล้ถึงแล้วเราก็หิ้วกระเป๋าและเบนโตะไปรอที่ชานชาลาเลย เราขึ้นสาย Hikari 473 ใช้เวลาเดินทางไป Shin Osaka ประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก 53 นาที
รถมาปุ๊ปก็ขึ้นปั๊บ นั่งสบายก้นเหมือนเดิม เปิดข้าวกล่องมาเจอแบบนี้เลย กินๆๆๆ เพราะหิวมากๆ ถามว่าอร่อยไหม ก็ดีนะ ไม่ได้เลิศเลออะไร
แต่มันสนุกตรงที่ได้กินเบนโตะเย็นๆ บนรถไฟนี่แหล่ะ แถมได้ลุ้นอีกว่า หน้าตาเบนโตะจะเป็นยังไงน้า เหมือนในรูปไหมน้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เหมือนนะ ไม่มีหลอกกัน 555
นั่งไปสักพักจะมีพนักงานมาตรวจตั๋วด้วยค่ะ ว่าเราได้จองที่นั่งนี้จริงหรือเปล่า ก็ส่งให้เค้าตรวจค่ะ
กินเสร็จอะไรเสร็จก็หลับเลยจ้า ได้นั่งฝั่งฟูจิซังด้วยนะ แต่ไม่เห็นเพราะ……หลับจ้า 5555 โถๆๆ ไม่เป็นไรนะ ไว้ขากลับค่อยดูกัน
เฮ้โย่ววว มาถึงแล้ว สถานี Shin Osaka มุ่งหน้าไปต่อ Subway เพื่อเก็บสัมภาระ นี่ไม่ได้เอาไรมามาก กระเป๋าลากแบบขึ้นเครื่องได้คนละใบ และกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ อีกคนละใบเท่านั้น
โรงแรมที่พักของเราคือ Hotel Diamond ค่ะ ราคาถูกมากกกกก (ตกคนละต่อคืนแค่ 1250Y) ทริปนี้เราไม่เน้นเรื่องนอน คนข้างๆบอกว่า อยากสบายให้กลับไปนอนที่บ้าน 5555555
เราเลือกเดินทางไปลงสถานี Dobutsuen-mae ออกทางออกที่ 8 เลี้ยวซ้าย แล้วเดินต่ออีกนิดก็จะถึงโรงแรมเลย
JR Pass ไม่รวม Subway เส้นนี้นะ ก็ซื้อตั๋วก่อน (คนละ 280Y) จริงๆเรามารู้ตอนเย็นๆว่า ใช้ JR Pass เดินทางไปโรงแรมได้ โดนลงสถานี Shin Imamiya แต่จะเดินไกลหน่อย
เดินทางมาถึงโรงแรมก็ อื้มมมมม ในรูปว่าเก่าแล้วนะ ของจริงเก่ากว่าจ้า 5555555 อย่าเรียกว่าห้องพัก ให้เรียกว่าห้องนอน
เราเก็บของชาร์จแบตสักแพ๊พ ก็ออกจากห้องเลย ปล. ห้องพัดลมนะจ๊ะ ห้องน้ำแยก ต้องลงไปอาบน้ำชั้น 1 แต่ห้องส้วมจะมีทุกๆชั้น
ออกมาเดินเล่นย่าน Namba เดินทางโดย Subway ค่ะ มาถึงป้าย Landmark ยังไม่เปิดไปเลยแฮะ เดินเล่นไปเรื่อย
แถวนี้คือร้านค้าเยอะมาก พวกร้านเครื่องสำอาง Drug Store คือมีเป็นสิบ ของกินเป็นร้อย น่าตื่นตาตื่นใจดี
รู้สึกเริ่มหิว เจอร้าน Remen หยอดตู้ร้านนึง ก็เลือกร้านนี้เลยแหล่ะ หยอดเหรียญ เลือกเมนูที่ตู้ จากนั้นจะได้เหมือนตั๋วออกมา ก็เข้าไปหาที่นั่งในร้าน ส่งตั๋วเมนูให้พนักงาน แล้วก็นั่งรอมาเสิฟได้เลย
รอไม่นานมาก อาหารก็ถูกยกมาเสิฟ หน้าตาที่สั่งเป็นแบบนี้ เส้นแบนๆ น้ำซุปสีเข้มๆ มีหมูแผ่นๆและไข่ด้วย (890 Y)
รสชาติดี แต่เราว่าน้ำซุปมันเค็มไปอ่า เลยไม่ได้ซดแบบจริงๆจังๆ เติมพริกแห้งๆลงไป เข้ากันดี เผ็ดๆได้ที่ กินเกือบไม่หมดอ่ะ เพราะมันเยอะเกิน คนข้างๆก็ช่วยจัดการต่อให้ตามระเบียบ อิอิ
กินเสร็จแล้วเดินย่อยสักหน่อย หาทาโกะยากิชิมหน่อยสิ จะเป็นยังไงนะ ไปเจอร้านนึงคนต่อแถวไม่เยอะเกินไป ดูน่ากินดี จัดเลย (500Y) ต่อแถวไม่นานก็ได้มากิน
พอชิมเท่านั้นแหล่ะ อือหืออออออ ลูกเดียวจอดค่าาาา มันเละๆอ่า รสชาติเฉยๆมากๆ ลูกเดียวพอข่ะ!
เดินเล่นเดินย่อยกันต่อไป เจอ Family Mart ก็เข้าไปสำรวจกันหน่อย หยิบขนมมา 3 อย่าง
ด้านซ้ายล่างเป็นเหมือนวาฟเฟิลไส้ครีม กินคำเดียว จอดเช่นกันค่ะ 55555
ขวาล่างเป็นชูครีม โอเคอันนี้รสชาติใช้ได้ กินหมดเลยแหล่ะ
ไหนลองเดินไป Landmark ยามค่ำของย่านนี้หน่อย คนเริ่มพลุกพล่านละ มีคนถ่ายรูปเต็มเลยแหล่ะ ป้าย Glio Man
ได้เวลาชิมขนมอีกอย่าง ด้านซ้ายล่าง เป็นเหมือนลูกชิ้นปิ้งพอกินเท่านั้นแหล่ะ แทบคายออก 555555555
มันเป็นเหมือนแป้งเหนียวๆเย็นๆ ราดด้วยซอส ซึ่งมีรสชาติเหมือนกับ ซอสเทอริยากิ บายจ้าาาาา!!
ก็ยังคงไม่หยุดกินนะ เพราะเดินไปเรื่อยๆเจอร้าน Pablo ชีสทาร์ตอันเลื่องลือ เราสั่งกินที่ร้าน ซึ่งถ้ากินที่ร้านเมนูให้เลือกจะมีไม่เยอะค่ะ
หน้าตาเป็นแบบนี้ กินกับชาเย็นจืดๆตัดเลี่ยนได้
ชิมคำแรก….อือหือออ ทำไม๊ทำไมมันอร่อยแบบนี้ๆๆๆ คืออร่อยมากๆๆๆๆอ่า มาเปิดที่ไทยทีเถอะ กราบบบบบ
คือมันไม่เลี่ยนนะ กรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับไอติมเปรี้ยวๆนิดๆ ราดด้วยซอสราสเบอรี่ โอ๊ยอร่อยอ่าาาาา เกินคำบรรยาย 55555
หลังจากกินเยอะแยะมากมายก่ายกอง เราเลยเลือกที่จะเดินเท้าจาก Namba กลับเข้าที่พัก
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อากาศเย็นๆสบายๆ เดินได้แบบชิวๆ
จบ EP.1 ค่ะ รอติดตามตอนต่อไป 😉
oakley sunglasses
Hello, I enjoy reading all of your article. I like to write a little comment to support you.